เรามีอาชีพเป็นนักกายภาพบำบัด และจบปริญญาโททางด้านเวชศาสตร์การกีฬา ที่เกิดหลงใหลการวิ่ง และศาสตร์แห่งการวิ่งโดยไม่รู้ตัว จึงมีความตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการวิ่งให้กับนักวิ่งที่มีความสนใจใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมให้ได้มากเท่าที่สุด เท่าที่เวลาส่วนตัวนอกเหนือเวลาจากภารกิจการทำงานหลักจะเอื้ออำนวย เนื้อหาในเวปไซท์นี้จะมีเนื้อหาทั้งแบบวิชาการจ๋า กึ่งวิชาการ ประสบการณ์ส่วนตัวจากการวิ่ง ประสบการณ์ทางการรักษาเพื่อนนักวิ่งที่บาดเจ็บ โดยมีความพยายามที่จะใช้ภาษาชาวบ้านให้มากที่สุด เราได้พยายามหลีกเลี่ยงภาษาทางวิชาการให้มากที่สุด แต่บางทีก็ทำได้ยาก จนอาจต้องทับศัพท์กันไปบ้าง อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเหล่านี้สามารถอ่านได้หมดทั้งคนที่ได้เรียน และไม่ได้เรียนทางการแพทย์มา และนักกายภาพบำบัดก็สามารถเข้ามาหาความรู้ได้โดยไม่มีปิดบังใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างฟรีในโลกความรู้จากเวปไซท์นี้ค่ะ ขอให้เพื่อนนักวิ่งได้รับความรู้มากมายจากเวปไซท์นี้นะคะ ธิดารัตน์ อร่ามวัฒนชัย (Page: JoylyRunning)
คำถามยอดฮิตที่นักวิ่งต้องเจอจากคนที่ไม่ได้วิ่งนั่นก็คือ “วิ่งไปทำไม?” และตามด้วยคำถามเสริมอีกมากมายจากมุมมองของคนที่ไม่ได้วิ่ง เช่น “เสียเงินลงสมัครงานวิ่งที่ได้แค่เหรียญกับเสื้อไปทำไม?” “ทำไมต้องตื่นแต่เช้าไปวิ่ง นอนสบายๆดีกว่า?” “มีรองเท้าวิ่งไว้ทำไมหลายๆคู่?” “ยิ่งวิ่งยิ่งเข่าเสื่อม ร่างกายพัง ทำไปทำไม?” และอื่นๆอีกมากมายที่เราเองก็ไม่สามารถตอบได้หมด จนสุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มเงียบๆ เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับคนที่ไม่ได้วิ่ง ให้เข้าใจคนที่วิ่งได้ ได้แต่บอกว่า ให้ลองมาวิ่งดู แล้วจะรู้เอง เรานึกถึงวันแรกที่ไปร่วมงานวิ่ง วันนั้นเราต้องวิ่ง 5 กิโลเมตร ตามที่เพื่อนรุ่นพี่ได้ลงสมัครไว้ให้ เรายอมสมัครเพราะมีน้องที่ทำงานหลายคนไปด้วยกัน เราลงสมัครทั้งที่ตอนนั้นวิ่งแค่ 1 กิโลเมตร ยังรู้สึกว่าจะตายให้ได้ เรามีเวลาซ้อมก่อนวันงานจริงประมาณ 1 เดือน เราคิดเอาเองว่า 5 กิโลเมตรนี่ก็คงไม่เท่าไร แต่หารู้ไม่ว่าสำหรับร่างกายที่ห่างหายการออกกำลังกายมานานเป็นสิบปีนั้น มันคงไม่ตอบสนองการออกกำลังกายอีกครั้งได้อย่างรวดเร็วเท่าไรหรอก เราออกไปซ้อมในเช้าวันหนึ่งที่พยายามลืมตาตื่น ลุกจากที่นอน เปลี่ยนชุด สวมรองเท้า ระหว่างที่ทำทุกอย่างนี้ เราพยายามคิดหาเหตุผลมากมายที่จะไม่ออกไปวิ่ง ยอมรับว่าเหตุผลที่คิดได้เช้านั้นคือ กลัววิ่งไม่จบ…
ประสบการณ์ได้บอกเราว่านักวิ่งจำนวนน้อยมากที่จะสามารถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในการแข่งขันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบอย่างสมบูรณ์แบบ นักวิ่งจำนวนมากเกินไปละทิ้งแผนการแข่งขันของพวกเขาเวลาที่เกิดความตื่นเต้น หรือความกังวลเข้ามาแทนที่ และเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดการทำผิดพลาดดังต่อไปนี้ เปลี่ยนแปลงการอบอุ่นร่างกายในวันแข่งขัน: ตัวอย่างเช่น เพื่อนๆมองเห็นนักวิ่งแชมป์โอลิมปิกระยะ 5,000 และ 10,000 เมตรนามว่า โม ฟาราห์ (Mo Farah) ที่นำการวิ่งเป็นช่วงสั้นๆมาเป็นส่วนหนึ่งของการอบอุ่นร่างกาย และเพื่อนๆก็ตัดสินใจว่าเพื่อนๆต้องการทำเหมือนกัน อย่าทำอย่างนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาที่ทำให้เพื่อนๆสงบก่อนการแข่งขันได้ หากทำสิ่งที่เคยทำมาอย่างซ้ำๆ จากการฝึกซ้อมในช่วงอบอุ่นร่างกาย อย่างการวิ่งเหยาะๆ การวิ่งสไตรด์ และการยืดกล้ามเนื้อที่เพื่อนๆได้ฝึกฝนมาในการฝึกซ้อมก่อนหน้านี้อย่างหนัก วิ่งออกตัวเร็วเกินไป: กฎหลักทางสรีระวิทยาที่ใช้ในการแข่งขัน คืออย่าวิ่งช่วงไมล์แรกในระยะแข่งขัน 10 ไมล์ด้วยความเร็วของการแข่งขัน 1 ไมล์ และเพื่อนๆจะไม่สามารถวิ่งช่วงไมล์แรกของการแข่งขันระยะ 5 กิโลเมตรได้ด้วยความเร็วของการวิ่งแข่งขัน 1 ไมล์เช่นกัน ที่ความเร็วอย่างนั้น เพื่อนๆจะสามารถวิ่งได้เพียงแค่ 1 ไมล์ วิ่งด้วยความเร็วที่ไม่แน่นอน: นักวิ่งระยะไกลแนวหน้าชาวเคนย่ามีชื่อเสียงในเรื่องของการวิ่งความเร็วการแข่งขันในช่วงแรก การเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างรวดเร็วดุดัน…
ก่อนที่เพื่อนๆจะเริ่มเตรียมตัววิ่งมาราธอน เพื่อนๆควรรู้ว่าทำไมเพื่อนๆจึงหันมาวิ่ง นอกเหนือจากนั้น การตัดสินใจวิ่งมาราธอนก็ไม่เหมือนกับการตัดสินใจว่าจะทานอะไรเป็นอาหารค่ำ หรือจะสั่งอะไรที่ชื่นชอบในร้านกาแฟ แต่มันคือการตัดสินใจที่ค่อนข้างจะยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ความรับผิดชอบ ดังนั้นเหตุผลที่จะลงมือทำจึงเป็นคำถามแรกที่สำคัญที่ควรจะถามตัวเอง เพื่อนๆอาจต้องการวิ่งมาราธอนด้วยเหตุผลที่หลากหลายดังต่อไปนี้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง: การฝึกซ้อมเพื่อการวิ่งมาราธอนเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายทางด้านแอโรบิค (ไม่ใช่การมีบั้นท้ายที่ใหญ่ขึ้น) ไม่มีอะไรทำให้เพื่อนมีสมรรถภาพทางแอโรบิคได้ดีขึ้นเท่ากับการวิ่งอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าการวิ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของร่างกายทั้งหมด มันฝึกกล้ามเนื้อทุกมัด สามารถทำให้ชีพจรสูงขึ้นมากกว่ากิจกรรมอื่นๆซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่มีพลังต่อการพัฒนาสมรรถภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด เพื่อลดน้ำหนัก: การวิ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก เนื่องจากการวิ่งสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ และเพราะว่าการฝึกซ้อมเพื่อการวิ่งมาราธอนคือการวิ่งจำนวนมาก ซึ่งก็คือจำนวนพลังงานที่ถูกเผาผลาญจึงมีมาก คนส่วนใหญ่แม้แต่นักวิ่งที่แข่งขันตามฤดูกาลมักจะน้ำหนักลดลง 1 – 2 กิโลกรัมระหว่างการฝึกซ้อมเพื่อการวิ่งมาราธอน เพื่อท้าทายตัวเอง: มนุษย์มักชอบผูกตัวเองอยู่กับความพยายามที่ยาก จึงตั้งเป้าหมายให้ยากและเอาชนะให้ได้ แล้วจะมีอะไรที่ดีกว่าในการท้าทายให้วิ่ง 42 กิโลเมตรได้ล่ะ? การลงมือทำเช่นนี้จะได้ทั้งความท้าทายต่อร่างกายและการทดสอบความแข็งแรงของจิตใจ เพื่อทำบางอย่างให้สำเร็จและพัฒนาความเคารพตนเอง: การพยายาม และที่ดีไปกว่านั้นก็คือการประสบความสำเร็จในบางสิ่งที่เพื่อนๆคิดว่ายากเป็นความรู้สึกที่ดี ช่วยให้อาหารกับอัตตาของเพื่อนๆและทำให้เพื่อนๆรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แม้ว่าการวิ่งมาราธอนจะเป็นสิ่งที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่สามารถทำได้สำเร็จก็ยังมีจำนวนน้อยอยู่ เพื่อสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนๆและครอบครัว: การวิ่งมาราธอนสามารถสร้างสังคมได้ดีมาก เพราะทำให้เพื่อนๆและกลุ่มเพื่อนและครอบครัวสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน หลายๆคนฝึกซ้อมเพื่อวิ่งมาราธอนด้วยกัน การสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนและครอบครัวที่วิ่งด้วยกัน สามารถเป็นแรงผลักดันที่รุนแรงมาก…
วันหนึ่งช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2561 ได้รับการติดต่อผ่านทาง Messenger จากพี่พงษ์แห่งเพจ Papa Colorful เพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องวิ่งลงคอลัมน์ Idol Runner ของพี่พงษ์ พี่พงษ์กำลังมี Project สัมภาษณ์น้องๆนักวิ่งจากหลายๆวงการ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการวิ่งกันต่อไป แรกๆก็ออกจะงงๆว่าทำไมพี่พงษ์ถึงสนใจเรา และก็ได้คำตอบว่า เป็นเพราะเรามีเพจให้ความรู้กับนักวิ่งที่พงษ์อ่านแล้วชอบ เลยติดต่อมา เราเองก็เป็นลูกค้าของเพจพี่พงษ์อยู่บ้าง เพราะพี่พงษ์ถ่ายรูปวิ่งสวย คมชัด แต่งภาพได้แสงสมจริง เรียกว่าเป็นหนึ่งในเพจที่เราสั่งรูปเรื่อยๆ วันที่นัดเจอพี่พงษ์ที่สวนลุมเพื่อถ่ายรูปมาลงคอลัมน์นี้ เราถึงเพิ่งได้เจอพี่พงษ์ตัวจริง ผู้ชายอารมณ์ดีใบหน้ายิ้มแย้ม ดูใจดี และใจเย็น ไม่รีบเร่ง ตั้งใจทำงาน และมีน้ำใจ ถ่ายรูปเรากับคนรู้ใจให้ฟรีๆ เลยเหมือนมีตากล้องประจำตัวถ่ายภาพงานแต่งงานยังไงยังงั้นเลย เมื่อถ่ายรูปเสร็จ ข้อคำถามก็ถูกส่งตามมาทางอีเมล เพื่อให้เราตอบคำถาม และพี่พงษ์จะเรียบเรียงนำไปลงเพจอีกทีหนึ่ง หลังจากที่เก็บไว้อ่านเองอยู่หนึ่งปี เลยตัดสินใจนำมาลงไว้ในเพจอีกครั้งหนึ่ง เพราะน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนอ่านในบางข้อคำถาม และเก็บไว้ในเวปบล็อคที่เราเปิดไว้ด้วย จากนี้ไปคือบทสัมภาษณ์ของหมอจอยจากพี่พงษ์ค่ะ…